ประเด็นร้อน

จี้ 'ยกระดับ'คุมสหกรณ์ออมทรัพย์

โดย ACT โพสเมื่อ May 11,2017

- -สำนักข่าว กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11/05/60 - - 

เผย 5 ปี ยอดปล่อยกู้พุ่ง 2 เท่า พบความเชื่อมโยง ในระบบการเงินเพิ่มขึ้น
          
"แบงก์ชาติ" เผยงานวิจัยพบสินทรัพย์สหกรณ์ออมทรัพย์โตต่อเนื่อง ขณะ ยอดปล่อยกู้ครัวเรือน 5 ปีย้อนหลัง พุ่ง 2 เท่า ทั้งยังพบความเชื่อมโยงในระบบการเงิน มีเพิ่มขึ้น หวั่นเกิดปัญหากระทบเสถียรภาพระบบการเงิน แนะยกระดับการกำกับดูแลให้เข้มแข็งขึ้น
          
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ออกบทความเชิงวิจัยเรื่อง "ความเสี่ยงของระบบสหกรณ์ ออมทรัพย์กับแนวทางการปฏิรูปการกำกับดูแล" เขียนโดย ศิริวรรณ อัศววงศ์เสถียร, กันตภณ ศรีชาติ และ รัฐศาสตร์ หนูคำ โดยระบุว่า ณ สิ้นปี 2558 ประเทศไทยมีสหกรณ์รวม 8,074 แห่ง โดยส่วนใหญ่อยู่ใน ภาคการเกษตรซึ่งมีสัดส่วน 56% ขณะที่สหกรณ์นอกภาคเกษตรมีสัดส่วน 44%

แม้ว่าสหกรณ์การเกษตรมีจำนวน มากสุด แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าทรัพย์สินแล้ว พบว่า สินทรัพย์ส่วนใหญ่ 87% เป็นของสหกรณ์ออมทรัพย์ มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 2,059,457 ล้านบท การขยายตัวของสินทรัพย์สหกรณ์ ออมทรัพย์นั้น ส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินให้สินเชื่อ โดยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2553-2558) เงินให้สินเชื่อของสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่ 169 แห่ง เติบโตจาก 0.9 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 เป็น 1.7 ล้านล้านบาท ณ สิ้นก.ย.2559 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อพิจารณาถึงประเภทของสินทรัพย์ของสหกรณ์ทำให้เห็นถึงพัฒนาการ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่สินทรัพย์ ส่วนใหญ่ของสหกรณ์จะเป็นเงินปล่อยกู้ แต่ส่วนที่เป็นเงินลงทุน ทั้งในตราสารหนี้ และตราสารทุน เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเป็นที่ น่าสังเกตว่า เริ่มเห็น  การลงทุนในตราสารทุน เพิ่มขึ้น โดยเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ปี 2557   

"พฤติกรรมการลงทุนในตราสารทุน ดังกล่าวสะท้อนถึงการแสวงหาผลตอบแทนของสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยการลงทุน ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ เงินกู้แก่สมาชิกมีทิศทางลดลงต่อเนื่อง ผิดวัตถุประสงคของสหกรณ์ที่เน้น ช่วยเหลือแก่สมาชิก"
          
บทความนี้ระบุว่า การติดตามความเสี่ยง เชิงระบบที่อาจก่อขึ้นโดยผู้เล่นทางการเงิน รายใดรายหนึ่งนั้น จะพิจารณาความสำคัญเชิงระบบของผู้เล่นทางการเงินใน 3 มิติหลัก ได้แก่ ขนาด ความเชื่อมโยง และ ความสามารถ ในการทดแทน
          
ในส่วนของสหกรณ์ออมทรัพย์นั้น ด้าน "ขนาด" ปัจจุบันสหกรณ์ออมทรัพย์ มีสินทรัพย์ประมาณ 6.1% เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินทั้งระบบ โดยมีขนาดสินทรัพย์ 2.3 ล้านล้านบาท เป็นอันดับ 3 รองจากธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจ ของรัฐ (เอสเอฟไอ)
          
ด้าน "ความเชื่อมโยง" พบว่า มีความเชื่อมโยงกับผู้เล่นอื่นๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์และ เอสเอฟไอ มากขึ้น โดยมีข้อสังเกตว่า เจ้าหนี้เงินกู้ของสหกรณ์ออมทรัพย์มีการ กระจุกตัว และสหกรณ์บางแห่งพึ่งพาการ กู้ยืมค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์
          
"เงินให้สินเชื่อแก่สหกรณ์ คือ ช่องทางหลักที่เชื่อมโยงธนาคารพาณิชย์ เข้ากับสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2553 สะท้อนถึงความสำคัญของระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อระบบสถาบันการเงิน"
          
ส่วน "ความสามารถในการทดแทน" แม้จะมีสถาบันการเงินอื่นที่สามารถทำหน้าที่ ให้บริการทางการเงินแทนสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ แต่สหกรณ์ออมทรัพย์ถือเป็นสถาบัน การเงินที่ช่วยเติมเต็มการเข้าถึงทางการเงินของประชาชนให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้มีรายได้น้อยที่อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึง บริการจากธนาคารพาณิชย์
          
สำหรับในด้านความเสี่ยง บทความนี้ ได้แบ่งสหกรณ์ออกเป็น 2 ประเภท คือ สหกรณ์ที่มีเงินเหลือ (Surplus) โดยส่วนใหญ่ เป็นสหกรณ์ที่มีสมาชิกค่อนข้างมีฐานะ การเงินดี ทำให้ปริมาณเงินรับฝากมาก จำเป็นต้องบริหารสภาพคล่องดังกล่าว ให้เป็นที่พอใจแก่สมาชิก แต่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ เป็นแรงกดดันให้สหกรณ์ ต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น
          
อีกประเภท คือ สหกรณ์ที่ยังขาดเงินทุน (deficit) เป็นสหกรณ์กลุ่มที่มีสภาพคล่องไม่พอ ส่วนใหญ่มีสมาชิกรายได้ร้อยหรือ มีความต้องการเงินกู้ทำให้ทุนภายใน ไม่เพียงพอ จึงต้องระดมทุนผ่านช่องทาง ต่างๆ เพื่อนำมาให้สมาชิกกู้ยืม เงินกู้ เหล่านี้ส่วนใหญ่ราว 64% เป็นระยะสั้น จึงไม่สอดคล้องกับอายุของเงินให้กู้แก่สมาชิก ที่ส่วนใหญ่เป็นระยะยาว จึงมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่องได้หากไม่ได้รับการต่ออายุเงินกู้
          
บทความนี้ ได้เสนอแนะว่า บทบาทของ สหกรณ์ต่อระบบเศรษฐกิจไทยที่เพิ่มขึ้น ควรนำไปสู่การยกระดับการกำกับดูแล ให้ระบบสหกรณ์มีความเข้มแข็ง ไม่ก่อให้เกิด ภาระทางการคลัง และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม และ ควรครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การให้อำนาจ ทางกฎหมายแก่องค์กรที่ดูแลสหกรณ์และตรวจสอบสหกรณ์ เพื่อให้มีความเข้มแข็ง ไม่ถูกท้าทายจากผู้ถูกกำกับดูแล ขณะเดียวกันควรออกเกณฑ์กำกับดูแลด้านธรรมาภิบาลและด้านความมั่นคงเพิ่มเติม  นอกจากนี้ควรปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านระบบการติดตาม การรายงานข้อมูล ระบบบัญชี และบุคลากร โดยวางระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อช่วยในการวางแผน วิเคราะห์ และติดตามฐานะการดำเนินงาน ความเสี่ยงที่สำคัญ และการปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง
          
ข้อเสนอแนะสุดท้าย คือ การจัดตั้งศูนย์กลางการบริหารสภาพคล่องของระบบสหกรณ์ให้มีลักษณะ Closed loop เพื่อเป็นแหล่งบริหารสภาพคล่องให้กับระบบสหกรณ์ และเพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวม ซึ่งจากผลการประเมินความเสียหายของสหกรณ์ออมทรัพย์ หากเกิดปัญหาสภาพคล่อง โดยใช้ scenario analysis พบว่า ระบบสหกรณ์ออมทรัพย์มีสภาพคล่องเพียงพอ ที่จะปล่อยกู้กันเอง หากสหกรณ์ออมทรัพย์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
          
อย่างไรก็ตาม หากสหกรณ์ออมทรัพย์ ไม่ช่วยเหลือกันเอง สหกรณ์ออมทรัพย์ ที่ยังขาดเงินทุน มีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาสภาพคล่อง  ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลกระทบหลัก จะเป็นสมาชิกของสหกรณ์เหล่านั้น รองลงมา คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ที่เป็น เจ้าหนี้เงินให้กู้

 
อ่านข่าวเพิ่มเติมที่ : www.bangkokbiznews.com/news/detail/754119